วันที่ 28 พฤษภาคม 2567 ณ โรงแรมเรเนซองส์ เกาะสมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ ธานี ดร.กัมปนาท กลิ่นเสาวคนธ์ นายอำเภอเกาะสมุย เป็นประธานเปิดงานสัมมนาสื่อมวลชนในหัวข้อ “พลิกโฉมท่องเที่ยวเกาะสมุย ลุยปักหมุดเพิ่มจุดพลังงานไฟฟ้าด้วยระบบเคเบิลใต้ทะเล”
ซึ่งจัดโดยสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโครงการพัฒนาระบบเคเบิลใต้ทะเลไปยังบริเวณ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า
โดยมีนายสุรเกียรติ ทองเกียรติ วิศวกรปฏิบัติการ สำนักงานพลังงานจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายเกรียงไกร ปิยะธำรงชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการโครงการก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน-สถานีไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และนายธนา ตั้งสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งระบบเคบิลใต้ทะเล ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ดร.กัมปนาท กลิ่นเสาวคนธ์ นายอำเภอเกาะสมุย กล่าวว่า เกาะสมุยเป็นหนึ่งในเกาะเศรษฐกิจที่สำคัญด้านท่องเที่ยวของประเทศ โดยในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาเกาะสมุยเฉลี่ยปีละกว่า 3.5 ล้านคน สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 6 หมื่นล้านบาท โดยเตรียมผลักดันเกาะสมุยสู่การเป็น Tourism Hub ฝั่งอ่าวไทย การยกระดับเกาะสมุยเป็นเกาะระดับโลก จึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเกาะสมุยให้มีความพร้อมมากยิ่งขึ้น ทั้งด้านคมนาคม ระบบไฟฟ้า ประปา และการจัดการขยะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยโครงการพัฒนาระบบเคเบิลใต้ทะเลขนาด 230 กิโลโวลต์ (kV) ขนอม – เกาะสมุยจะเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าให้กับเกาะสมุย รวมถึงเกาะเต่า และเกาะพะงัน ทำให้ประชาชนมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ ไฟไม่ตกไม่ดับ นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและอยากมาลงทุนในเกาะสมุย รวมถึงรองรับการขยายตัวของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
นายสุรเกียรติ ทองเกียรติ วิศวกรปฏิบัติการ สำนักงานพลังงานจังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า ในปี 2567 ภาคใต้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 3,143.8 เมกะวัตต์ (MW) เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 67 เวลา 20.47 น. เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 12.19% โดยสุราษฎร์ธานีเป็นจังหวัดที่มีการใช้ไฟฟ้ามากที่สุดของภาคใต้ รองลงมาคือสงขลาและภูเก็ต นอกจากนี้ยังพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 เกาะสมุยและเกาะพะงันมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 143 MW ในขณะที่ระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงด้วยระบบเคเบิลใต้ทะเลขนาดแรงดัน 115 kV และ 33 kV จำนวน 4 วงจร ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีความสามารถจ่ายไฟฟ้า 178.6 MW ซึ่งบางส่วนมีอายุการใช้งานนานและเริ่มชำรุดจึงคาดว่าภายในปี 2573 ระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงเดิมจะไม่สามารถรองรับการใช้ไฟฟ้าได้อีก
นายเกรียงไกร ปิยะธำรงชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการโครงการก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน-สถานีไฟฟ้า กฟผ. กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการพัฒนาระบบเคเบิลใต้ทะเลไปยังบริเวณ อ.เกาะสมุย ขนาด 230 kV จากสถานีไฟฟ้าแรงสูงขนอม จ.นครศรีธรรมราช ไปยังสถานีไฟฟ้าแรงสูงเกาะสมุยแห่งใหม่ ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร จำนวน 2 วงจร จะสามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 200 MW สำหรับการออกแบบโครงการดังกล่าว กฟผ. ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมใต้ทะเล และคำนึงถึงความมั่นคงของระบบเคเบิลใต้ทะเลซึ่งจะต้องไม่อยู่ในเส้นทางเดินเรือและบริเวณที่จอดเรือ ส่วนสายเคเบิลใต้ทะเลออกแบบให้สายตัวนำไฟฟ้า (Conductor) ทั้ง 3 เฟส และสาย Optic Fiber อยู่ในเส้นเดียวกัน ฝังไว้ในพื้นทรายใต้ทะเลความลึกประมาณ 3-5 เมตร เพื่อความปลอดภัย รวมถึงเพิ่มเทคโนโลยี Online Sensor Monitoring เพื่อตรวจจับความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับระบบเคเบิลอีกด้วย ปัจจุบัน กฟผ. อยู่ระหว่างการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2572
ด้านนายธนา ตั้งสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งระบบเคบิลใต้ทะเล ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการวางระบบเคเบิลใต้ทะเลอยู่หลายจุดเพื่อเชื่อมโยงพลังงานไฟฟ้าไปยังเกาะต่าง ๆ ซึ่งการติดตั้งจะคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ตั้งแต่การเลือกเส้นทางวางสายเคเบิลส่วนใหญ่ที่ไม่พาดผ่านแนวปะการังและหญ้าทะเล ติดตามตรวจสอบการแพร่กระจายของตะกอนขณะติดตั้งฝังสายเคเบิลตลอดเวลา แม้ว่าปริมาณตะกอนที่เกิดจากการวางสายเคเบิลจะมีค่อนข้างน้อยและได้รับผลกระทบในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่หากพบว่าเกิดการฟุ้งกระจายของตะกอนมากขึ้นจนทำให้น้ำขุ่นกระทบต่อระบบนิเวศก็จะหยุดดำเนินการฝังสายเคเบิลชั่วคราว และเริ่มดำเนินการฝังสายเคเบิลใหม่เมื่อตะกอนแขวนลดน้อยลงหรือใช้ม่านกันตะกอนเข้ามาช่วยอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้การวางสายเคเบิลใต้ทะเลยังไม่มีผลกระทบต่อเส้นทางการเดินเรือของนักท่องเที่ยวเพราะเป็นการติดตั้งในพื้นที่ที่จำกัด
………………………….